วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Ghost World

Ghost World


ปอบ เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน โดยเชื่อกันว่าเป็นผีที่กินของดิบ ๆ สด ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม โดยมีความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสานจะเรียกว่า "คะลำ" ซึ่งผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ปอบ เป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือหรือกองกอย แต่ปอบจะเข้าสิงสู่คนที่เป็นสื่อให้ และจะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะนอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดา ๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า "ใหลตาย"
ในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องปอบนั้นเป็นกลไกการสร้างความเชื่อของคนในชุมชน เนื่องจากไม่วางใจบุคคลแปลกหน้าหรือแม้แต่กระทั่งคนในชุมชนเดียวกันเอง ที่มีพฤติกรรมแปลกออกไป ซึ่งในสมัยโบราณ บุคคลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ จะถึงกับถูกขับไล่ให้ออกชุมชนเลยทีเดียว
ปอบ เป็นผีที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในสังคมไทย มีการนำไปอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ อาทิ ภาพยนตร์ชุด บ้านผีปอบ เป็นต้น


บ้านผีสิง Amityville

ที่บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา 
ความน่ากลัวนั่นเริ่มขึ้น เมื่อจอร์จ และ เคธี่ ลุทร์ ย้ายเข้ามาในบ้านย่อมๆในนิวยอร์กหลังนี้ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 หรือประมาณปี ค.ศ.ที่ 1975 ทั้งสองบอกกับผู้สื่อข่าวว่า มีเหตุการณ์สยองขวัญหลายต่อหลายเกิดขึ้นกับพวกเขาและเธอทั้งสอง ในช่วงที่อาศัยอยู่หลายเดือนพอสมควร...

เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีหลายเรื่องและแตกต่างกันนับไม่ถ้วน ที่พวกเขาไม่สามารถป้องกันตัวหรือหลบซ๋อนพวกมันได้เลย... เป็นต้นว่า ในระหว่างที่นั่งเล่นอยู่บริเวณห้องโถง พวกเขาสังเกตเห็นดวงตากลมโตสีแดงจ้องมาจากหลายด้าน และเรื่องที่หมูลอยไปมาหน้าสวน หรือแม้กระทั่งเสียงคนเดินรอบๆบ้านอย่างจอแจ้กจอแจ.... ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างที่เคธี่เดินอยู่ในบ้านนั้น เธอเห็นผนังด้านหนึ่งซึ่งมีเลือดไหลชุ่มอยู่ทั่ว และสร้างความหวาดกลัวให้เธอไม่น้อย และมีแมลงมากมายต่างๆอยู่ในห้องใต้หลังคา.... ทั้งยังมีเรื่องของบ่อน้ำในใต้ถุนบ้านซึ่งพวกเขาพบเจออีกด้วย ว่ากันว่า บ่อน้ำนี้เป็นทางเชื่อมไปสู่นรกภูมิที่ไม่มีจุดสินสุดอีกต่างหาก....

เมื่อทั้งคู่สืบสาวราวเรื่องไปเรื่อยมา ก็ได้พบว่า บ้านหลังนี้ยังเคยหลอกหลอน โรนัลด์ แดโฟ อย่างรุนแรงก่อนหน้าพวกเขาในปี ค.ศ. 1974 อีกด้วย...

เหตูการณ์สยองของโรนัลด์นั้นเป็นสิ่งที่คนรุ่นตายายไม่เคยลืม มันเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 ในเวลาประมาณตี 3 กว่าๆ ตอนนั้นวิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในบ้านกดดันและทำให้โรนัลด์คุ้มคลั่งอย่างหนักจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาหยิบปืนออกมาจากลิ้นชัก และเดินอย่างเสียสติไปที่ห้องพ่อและแม่ของเขาเอง และลั่นไกปืนสังหารบุพการีอย่างเหี้ยมโหด เขายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เขายังเดินไปที่ห้องน้องชายและน้องสาวทั้งสี่คนและสังหารน้องทั้งสี่คนก่อนจะลั่นไกปืนอีกครั้งเพื่อฆ่าตัวตายอย่างน่าอนาถ......

เรื่องข้างต้นนี้ ได้ดังไปเพียงชั่วข้ามคืนเมื่อ เอ๊ด และ ลอรีน วอร์เรน ได้สืบสวนและหามูลเหตุการณืทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่อามิตี้วิลบ้านสยองแห่งนี้.....



แฟรงเกนสไตน์

"แฟรงเกนไสตน์" เจ้าอมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วนของคนตาย ถือเป็นเรื่องสยองขวัญ อมตะพอ ๆ กับท่านเคาท์แดร็กคิวล่าของ บราม สโตเกอร์ทีเดียวครับ เจ้าของบทประพันธ์เรื่องนี้เป็นสตรีชื่อ แมรี่ เชลลี่ (Mary Shelley) หลายคนชอบเรียกเธอลับหลังว่า มารดาแห่งแฟรงเกนไสตน์ ซึ่งก็ดูเหมือนเชลลี่จะชอบฉายานี้อยู่ไม่ใช่น้อย แฟรงเกนสไตน์ดังเป็นพลุแตกเมื่อฮอลลีวูดนำมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งเรื่องราวที่ผมจะเล่าในวันนี้ ก็จะเป็นการผสมผสานเนื้อเรื่องในหนังและตัวบทประพันธ์เข้าด้วยกัน มาลองฟังดูกันไหมครับ?

วิคเตอร์ แฟรงเกนไสตน์(Victor Frankenstein) เป็นนามของชายผู้หนึ่ง เขาเกิดที่กรุงเจนีวา เมื่อประมาณปี 1790 เป็นบุตรของนักการเมือง และคหบดีผู้มั่งคั่ง เขามีเพื่อสนิทที่เป็นนักศึกษาอยู่คนนึงชื่อ เฮนรี่ เคลอวัล เจ้าหมอนี่แหละครับที่ชักนำให้วิคเตอร์สนใจเรื่องพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า และแหล่งกำเนิดชีวิต เมื่อเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Ingoildtadt University ก็ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ต่อ โดยมุ่งหวังจะเป็นผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ในการแสวงหาพลังใหม่ที่ไม่มีใคร รู้จัก เพื่อนำไปสู่กุญแจไขความลี้ลับของการกำเนิดชีวิต เข้ามุ่งมั่นที่จะใส่ชีวิตใหม่ให้กับคนที่ตายไปแล้ว โดยใช้ร่างของผู้ตายมาสร้างมนุษย์พิเศษขึ้นมาใหม่

เมื่อการค้นคว้าดำเนินมาถึงที่สุด แฟรงเกนไสตน์ก็ตัดสินใจท้าทายอำนาจแห่งพระเจ้า เขาพยายามจะทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพ ทว่า เจ้าคนตายนี้กลับไม่ใช่ศพใดศพหนึ่ง กลับเป็นผลผลิตที่เกิดจากการนำเอาชิ้นส่วนจากหลายศพ มาเย็บเข้าไว้รวมกันด้วยความตั้งใจที่จะทำให้มันกลายเป็นยอดมนุษย์ แข็งแรง และสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปนัก จะด้วยวิธีใดก็ตามแต่ล่ะครับ ในที่สุดแฟรงเกนไสตน์ก็ได้ทำให้เจ้าอมนุษย์ตนนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาจนได้

พอศพนั้นลุกขึ้นมาได้เท่านั้นแหละครับ แฟรงเกนไสตน์ถึงกับร้องจ๊าก เผ่นออกไปนอกห้องอย่างทันทีทันใด กว่าจะรวบรวมขวัญอันกระเจิดกระเจิง และอาศัยความกล้า กลับเข้ามาสำรวจในห้องทดลองปรากฏว่าเจ้าอสุรกายนั้นเผ่นหายไปที่ไหนเสียแล้ว ก็ไม่ทราบ ตอนแรก ๆ แฟรงเกนไสตน์ก็โล่งอกแหละครับที่ไม่ต้องเผชิญปัญหาอะไร เขาพยายามลืมความสยดสยอง และผลทดลองอันล้มเหลวนี้ซะ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงแรกเท่านั้นครับ ชีวิตหลังจากนั้นของแฟรงเกนไสตน์ต้องพบกับความสยดสยองเรื่อยมา เริ่มต้นด้วยการตายของวิลเลียมน้องชายของเขาซึ่งถูกเจ้าอสุรกายนั้นบีบคอตาย เพียงแต่เรื่องนี้ถูกปกปิดอย่างมิดชิด และหาแพะรับบาปได้ คือพี่เลี้ยงของวิลเลียมชื่อจัสติน การที่จัสตินถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด ทำให้แฟรงเกนไสตน์ยิ่งทุกข์ทรมานเข้าไปใหญ่เพราะบาปในใจของเขานั่นเอง



เรื่องของพระนางแอนน์ โบลีน 

แอนน์ โบลีน เป็นบุตรีของเซอร์ทอมัส โบลีน กับเลดีเอลิซาเบธ โบลีน และได้เป็นพระมเหสีองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และเป็นพระราชมารดาของเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ (ต่อมาเสด็จขึ้นเถลิงราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1)
พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับสมเด็จพระราชินีแอนน์เป็นจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราว พระราชอำนาจหลังพระราชบัลลังก์ฉายเด่นชัดจากสมเด็จพระราชินีพระองค์นี้ ข้าราชการแบ่งฝักฝ่ายเป็นสองพวกคือ "คนของพระราชา" และ "คนของพระราชินี" แม้จนเมื่อท้ายที่สุดแล้วสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 จะทรงมีชัยชนะเหนือพระมเหสีสามารถสำเร็จโทษพระนางได้ ด้วยการกล่าวหาว่าพระนางสมสู่กับน้องชายแท้ๆ ของพระนางเอง แต่ความแตกร้าวก็ยังคงมีอยู่ไม่รู้จบ พระองค์ถูกกล่าวขานถึงว่า "ราชินีแห่งอังกฤษที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมี"
ในช่วงแรกชีวิตคู่กับพระเจ้าเฮนรีก็มีความสุข แต่พอนานๆเข้าความสัมพันธ์เริ่มตึงเครียด พระเจ้าเฮนรีทรงไม่ชอบท่าทางของแอนน์ที่ทำเพื่อตนเองและชอบโต้แย้งกับพระองค์ หลังจากการล้มเหลวจากการได้บุตรในปีพ.ศ. 2077 พระเจ้าเฮนรีมองการล้มเหลวจากการให้บุตรชายของแอนน์ซึ่งเป็นการทรยศพระองค์ ในวันคริสต์มาสพระเจ้าเฮนรีได้สนทนากับทอมัส เครนเมอร์ และ ทอมัส ครอมเวลล์ในเรื่องการขับไล่พระนางแอนน์ โบลีน และให้พระนางแคทเทอรีน แห่งอรากอนกลับมา
พระนางแอนน์ไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆทรงใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย พระนางพยายามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ข้าราชการแบ่งฝักฝ่ายเป็นสองพวกคือ "คนของพระราชา" และ "คนของพระราชินี" และได้มีการสั่งประหารศัตรูของพระนางคือ บิชอปแห่งโรเชสเตอร์,จอห์น ฟริชเชอร์ และ ทอมัส มัวร์ ผู้ซึ่งต่อต้านนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์
ในวันสุดท้ายของเดือนเมษายน นักดนตรีชาวเฟลมมิชที่พระนางแอนน์เรียกไปรับใช้ชื่อว่า มาร์ก สเมียตัน ได้ถูกจับกุมและทรมานร่างกาย เพราะได้ถูกตั้งข้อหาว่าคบชู้กับพระราชินีแต่ระหว่างการทรมานเขาได้สารภาพผิด ต่อมาชาวต่างชาติ เฮนรี นอร์ริส ได้ถูกจับในเดือนพฤษภาคมแต่เนื่องจากเขาเป็นชนชั้นสูงจึงไม่ถูกทรมาน เขาได้ปฏิเสธและสาบานว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ 2 วันต่อมาเซอร์ฟรานซิส เวสตันได้ถูกจับกุมในข้อกล่าวหาเดียวกัน วิลเลียม แบร์ตันบ่าวรับใช้ของพระเจ้าเฮนรีก็ถูกจับกุมในข้อกล่าวหานี้เช่นกัน สุดท้ายก็มีการจับกุมพระอนุชาของพระนางแอนน์ จอร์จ โบลีนในข้อหาคบชู้กับสายเลือดเดียวกัน
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2079 พระนางแอนน์ได้ถูกจับกุมและส่งไปหอคอยแห่งลอนดอน นักโทษคนอื่นได้รับการปลดปล่อยเหลือแต่พระนางแอนน์และจอร์จ โบลีน 3 วันต่อมาแอนน์ได้ถูกกล่าวหาว่าได้คบชู้สู่ชายกับสายเลือดเดียวกัน และทรงเป็นผู้ทรยศ
กล่าวกันว่าหลังจากที่พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ประหารชีวิตพระนางแอนน์ โบลีน ด้วยการตัดพระเศียร (ทรงจ้างเพชรฆาตมือหนึ่งและดาบที่คมที่สุดจากฝรั่งเศสตามคำขอของพระนางแอนน์ โบลีน ซึ่งโดยปรกติแล้วการประหารชีวิตในอังกฤษจะใช้ขวานทื่อๆในการตัดคอ) แล้วที่Tower Green ดวงวิญญาณของพระนางก็ยังคงสิงสถิตอยู่ที่นั่น กล่าวคือ มีทหารยามพบเป็นสตรีสวมผ้าคลุมศีรษะออกมาเดินเล่นริมระเบียงที่ถูกปิดตาย เพียงแต่สตรีผู้นั้นได้ถือศีรษะของตนออกมาเล่นด้วย ไม่ก็พระนางจะลากโซ่ตรวนในห้องประหารแล้วกรีดร้องเสียงดัง และเห็นพระนางแอนน์ โบลีน นำทหารในสมัยนั้นและเลดี้หรือสตรีระดับสูงเข้ามาในโบสถ์ที่หอคอยแห่งลอนดอน จนเงาพวกนั้นค่อย ๆ หายไป แล้วปล่อยให้โบสถ์นั้นเงียบสงัดไปดื้อ ๆ เป็นต้น จนบัดนี้เหตุการณ์แปลกๆที่ว่านี้ก็ยังมีให้เห็นทุกคืน




ผีคอยาว

นสมัยเอโดะ ที่บ้านของเศรษฐีที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง ช่วงนั้นในหมู่บ้านมีข่าวลือหนาหูถึงผีสาวคอยาวที่ออกหาเหยื่อซึ่งเป็นชายหนุ่มยามค่ำคืนและดูดพลังชีวิตของเขาเหล่านั้น รุ่งเช้าชาวบ้านจะพบศพชายเหล่านั้นนอนตายตัวแข็งทื่ออยู่ทุกๆ คืน 



แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคนกล่าวหาว่าสาวรับใช้ในบ้านของเศรษฐีผู้นั้นเป็นผีคอยาว ซึ่งสร้างความอับอายให้กับคนในบ้านอย่างยิ่ง แต่สาวใช้คนนั้นก็ปฎิเสธอย่างที่สุดว่าเธอไม่ใช่อย่างที่ผู้คนกล่าวหา



เศรษฐีคนนั้นต้องการที่จะรู้ความจริงจึงลองพิสูจน์ตามคำแนะนำของเพื่อนบ้าน ยามดึกสงัดเขาแอบย่องไปที่ห้องของสาวใช้คนนั้นยามเธอนอนหลับ ซึ่งเขามองดูท่าทีของเธอสักระยะแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ



แต่แล้วยามที่เขาคิดจะถอดใจและหันกลับ ฉับพลันก็มีกลุ่มควันประหลาดลอยออกมาจากช่วงบริเวณคอของสาวคนนั้น ควันเริ่มจับตัวหนาขึ้น



และแล้วเศรษฐีก็ต้องตกใจอุทานออกมา เมื่อคอยาวของสาวใช้คนนั้นกลับยืดยาวออกมาอย่างน่าประหลาดซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเศรษฐีนั้นแอบมองอยู่ คอที่ยืดยาวนั้นลอยไปสุดถึงเพดานห้องแล้วหันซ้ายหันขวาอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าจะมองดูว่ามีคนเห็นหล่อนหรือเปล่า หล่อนใช้ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหิวโหย ทันใดนั้นเองหล่อนก็พุ่งคอออกไปที่ประตูหน้าต่างเพื่อหาเหยื่อ



เศรษฐีกลัวจนไม่กล้าที่จะอยู่ดูต่อ เขารีบวิ่งหนีไปที่ห้องนอนและคลุมโปลงอย่างรวดเร็ว เช้าวันต่อมาก็มีข่าวว่าหนุ่มชาวนาคนข้างบ้านนั้นตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ชาวบ้านต่างก็มามุงดูเหตุการณ์กันอย่างชุลมุน



เศรษฐีเองได้ข่าวจึงเดินทางไปดู ก็เห็นศพหนุ่มคนนั้นนอนตายตาเหลือกและตัวซีดเซียวเหมือนไม่มีสีเลือด เขาตกใจมากเมื่อนึกถึงเหตุการ์ยามค่ำคืนที่ผ่านมา เขากลัวจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อกลับถึงคฤหาสถ์เขาจึงตัดสินใจไล่สาวใช้คนนั้นออกจากบ้าน



สาวใช้คนนั้นได้ยินก็ตกใจและหันหน้ามามองเศรษฐีอย่างตาเหลือกตาลานเหมือนกับว่าเขาจะรู้ว่าตัวจริงของหล่อนคืออะไร เศรษฐีตกใจกลัวมาก



ในที่สุดหล่อนก็ได้เก็บข้าวของออกจากบ้านเศรษฐีมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และนี่เป็นตำนานที่กล่าวถึงเรื่อง โรคุโรคุบิ หรือ ผีคอยาว หนึ่งในปิศาจที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น



ตำนานยังกล่าวอีกว่าโรคุโรคุบินั้นส่วนใหญ่มีแต่เพศหญิง และจะต้องเป็นหญิงที่สวยด้วย ทั้งนี้เพราะหล่อนต้องใช้ใบหน้าภายนอกตบตาผู้คนในยามกลางวัน ตกกลางคืนคอหล่อนก็จะยืดยาวออกไปเหมือนงูที่เที่ยวออกหาเหยื่อ



ผีคอยาวนั้นต้องการเหยื่อที่เป็นชายหนุ่มเพราะหล่อนต้องการพลังวิญญาณที่กระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษของเขาเหล่านั้น ปัจจุบันก็มีผีที่คล้ายคลึงกับโรคุโรคุบิในบ้านเรานั้นก็คือผีกระสือนั่นเอง..



( บางตำนานยังกล่าวอีกว่าผีคอยาวนั้นแท้จริงไม่ใช่ภูติปิศาจที่ไหน แต่เป็นความผิดพลาดของการถอดวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้มีแต่วิญญาณส่วนคอเท่านั้นที่ยืดยาวออกมาได้ เหล่านักเล่นของทั้งหลายระวังตัวให้ดี เดี๋ยวจะเป็นแบบนี้ )



ฮานาโกะซัง....

ฮานาโกะซัง เป็นเด็กป.1 ที่ตอนพักกลางวันแอบเข้าไปในห้องน้ำที่เปิดไม่ได้แล้วล็อกประตูแล้วเปิดไม่ได้ ฮานาโกะซังด้วยความหิวโหยจึงจึบพวกแมลงต่างๆและน้ำในนั้นมากินใหญ่ แต่เพราะมีความสกปรกเธอจึงตายไป
วิญญานของเธอยังคงไม่ไปไหนและวิญญานยังคงวนเวียนอยู่ในห้องน้ำนั้นประสบการณ์ของผู้ที่เจอฮานาโกะซังมีมากมายและตำนานของมันคือฮานาโกะซังที่กลายเป็นวิญญานได้หาตัวตายตัวแทนเพื่อจะให้ตนเองได้ไปเกิดใหม่ เช่น ถ้ามีคนกำลังอยู่ในห้องน้ำแล้วได้ยินเสียงคนทักว่า " มาอยู่ด้วยกันเถอะ " อย่าตอบไปเพราะว่าระวังจะถูกเธอเอาตัวไป

ว่ากันว่าถ้าเราลองเคาะประตูห้องน้ำที่ไม่มีใครอยู่แล้วถามว่า "ฮานาโกะซังอยู่ไหม" บางทีก็จะมีแค่เสียงตอบกลับมาว่า "ค่ะ" แต่บางทีก็จะมีมือขาวซีดยื่นออกมาจากห้องน้ำ แล้วเด็กผู้หญิงที่มีผมทรงกะลาครอบก็ปรากฏตัวขึ้น

ตำนานหลักๆของฮานาโกะซังคือ.... หมึกสีแดง..


เรื่องมีอยู่ว่า..หลังจากที่ข่าวฮานาโกะซัง ตายไปในโรงเรียย ทำให้มีพวกสอดรู้สอดเห็นอยากจะรู้ความจริงมากมาย.. และได้มีนักเรียน ป.5 หกคนได้ เพศหญิง คิดจะไปทดสอบความจริงในห้องน้ำนั้น ห้องที่ฮานาโกะซังสิ้นชีพคือห้องที่ 3 จากขวามือ (( ฝั่งละ 4 ))

หนึ่งในนั้นได้เจอหมึกสีแดงจึงเอาหมึกมาราดตนเองจนราวกับตัวเต็มไปด้วยเลือด 5 คนนั้นเห็นต่างตกใจพร้อมบอกว่า " เธอ ! อย่าเล่นอะไรไม่เป็นมงคลนะ " เพื่อนอีกคนเสนออีก " อืม..ใช่ " แล้วเธอก็เอาหมึกออกวันต่อมารุ่งเช้า ชาวบ้านแถวนั้นพบศพของนักเรียนที่ใช้หมึกสีแดงทาตัวถูกรถบรรทุกชนตายแล้วเลือดเต็มตัวราวกับตอนที่ใช้หมึกแดงทามากๆต่อจากนี้จึงไม่มีใครกล้าไปที่ห้องฮานาโกะซังอีกเลย




ฮันตูปีนังกาลัน

ในแถบมาเลเซียยังมีเรื่องของผีที่มีลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย เรียกว่า "ฮันตูปินังกาลัน" หรือ "ปินังกาลัน"
มีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง และมีเสียงดังดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยไปเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่จะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้นจึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า "ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว" จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย
ซึ่งความแตกต่างของฮันตูปินังกาลัน และกระสือ ต่างกันที่สีของดวงไฟ ที่กระสือจะเป็นสีเขียวหรือแดง และฮันตูปินังกาลันจะเป็นสีเหลือง อีกทั้งฮันตูปินังกาลันยังมีความดุร้ายกว่าด้วย[2]
นอกจากนั้นแล้วที่ญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินได้ในเวลากลางคืน อาศัยอยู่แถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนซามูไรผู้กล้าผู้หนึ่งที่เลิกจากการเป็นซามูไรแล้ว ได้บวชเป็นพระธุดงค์ผ่านไป หัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ก็ได้นิมนต์ให้ไปพักที่บ้าน ในเวลากลางคืนพระก็ตื่นขึ้นมากลางดึก หวังจะดื่มน้ำโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ขณะผ่านไปยังห้องที่เหล่าปีศาจนอนกันพบว่า ทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัวแล้ว พระตามไปดูนอกบ้าน พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา ใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้น และคุยกันว่าจะกินพระในเวลาก่อนรุ่ง พระเลยลากเอาร่างที่ไร้หัวเหล่านั้นไปซ่อนไว้ เมื่อปีศาจกลับไปดูที่บ้านไม่พบทั้งพระและร่างของตัวเองเลยตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจทำอะไรพระได้ เพราะพระเคยเป็นซามูไรมาก่อน ก็ตายลงเมื่อถึงเวลาเช้า แต่หัวของหัวหน้าปีศาจก็ได้กัดติดกับจีวรพระไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกผู้คนเอาเงิน แต่ต่อมากลัวปีศาจจะมาเอาคืน เลยทำสุสานฝังให้ ว่ากันว่าสุสานแห่งนี้ยังมีปรากฏจนถึงทุกวันนี้





Helena Ravenclaw(เรียกว่า Grey Lady) เป็นแม่มดและลูกสาวของ Rowena Ravenclaw เธอเข้าเรียนที่ Hogwarts และถูกคัดสรรเข้าบ้านRavenclaw บารอนเลือดรักเธอแต่เธอไม่ได้รักเขา เธอยังขโมยรัดเกล้าแม่และซ่อนในป่าที่แอลเบเนีย บารอนพบนางและฆ่าเธอขณะที่ เธอปฏิเสธที่จะไปกับเขา เธอกลับเป็นผีที่ Hogwarts เธอเป็นผีประจำบ้าน Ravenclaw
ชีวิตในช่วงต้น
Helena Ravenclaw เป็นลูกสาวของ Rowena Ravenclaw ผู้ก่อตั้งบ้าน Ravenclaw และเป็นหนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้งของ Hogwarts เธออิจฉาความเก่งและสำคัญของแม่ดังนั้นเธอขโมยรัดเกล้าและหนีออกจาก Hogwarts เธอเชื่อในเวทย์มนต์ที่จะช่วยให้เธอฉลาดพอที่จะบรรลุเป้าหมายของเธอ แม่ของเธอรับไม่ได้ที่จะให้คนอื่นเอารัดเกล้าไป
ตาย
คนที่มาจะกลายเป็นบารอนเลือดได้หลงรัก Helena และต้องการแต่งงานกับเธอ Rowena Ravenclaw, ผู้ที่ป่วยใกล้จะตาย ส่งเขาไปพบลูกสาวและพาเธอกลับไปที่ Hogwarts เธอพยายามซ่อนจากเขา แต่เขาประสบความสำเร็จที่สุดในการหาเธอ เธอปฏิเสธที่จะมาพร้อมกับเขาและปฏิเสธความรักของเขา ด้วยความโกรธทำให้เขาฆ่าเธอ หลังจากได้เห็นสิ่งที่เขาทำ เขาแทงตัวเองตาย







กัปปะ (「河童」 Kappa) ผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นผีจำพวกพรายน้ำ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื่อว่า อาหารที่กัปปะชอบคือ แตงกวา ชอบเล่นซูโม่เพราะมีพละกำลังเยอะ ลักษณะพิเศษคือ มีจานอยู่บนหัวไว้เก็บน้ำ ซึ่งน้ำจะทำให้กัปปะมีพลังพิเศษ และมีพละกำลังมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าสูญเสียน้ำไป กัปปะจะอ่อนแรงลงอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก มันมีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือเป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาว และยืดหยุ่นได้ เมื่อกัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ อีกวิธี ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร ปัจจุบันมีซูชิชนิดหนึ่ง ไส้แตงกวา เรียกว่า "กัปปะ มากิ"
กัปปะมีความมั่นใจในพละกำลังตัวเองมาก มักจะท้ามนุษย์ในการแข่งซูโม่ จึงมีเรื่องเล่าว่า คนที่ฉลาดจะทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลอง ด้วยการก้มศรีษะ แล้วกัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก นิสัยของกัปปะ คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์
กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร ซึ่งพฤติกรรมพิเรนนี้ อาจทำให้มันถูกคนจับตัวได้ แต่กัปปะมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิดความรู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก
ความเชื่อเรื่อง กัปปะ มีกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น มีตำนานเล่าว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป อีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูติผีธรรมดา
อาจเป็นไปได้ว่า สิ่งที่มีบุคคลเห็นปีศาจชนิดนี้ คือ สัตว์บางประเภทเช่น นาก หรือ ลิง มาก้มดื่มน้ำในเวลากลางคืนก็ได้ ปัจจุบัน เรื่องราวของกัปปะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนต่าง ๆ มากมาย เช่น ตัวละคร ซูเนโอะ ในเรื่องโดราเอมอน ก็นำมาจากกัปปะนั่นเอง โดยมากแล้ว กัปปะ ที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ นั้น มักจะไม่มีภาพของความน่ากลัวหรือเป็นอันตราย ซึ่งต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิม





ตำนานของฟลายอิงดัตช์แมน (Flying Dutchman) กัปตันเรือผู้ถูกสาปให้ต้องเร่ร่อนอยู่ในท้องทะเลจนกว่าจะถึงวันแห่งการพิพากษา
...เล่ากันว่า เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 17 เมื่อปีค.ศ. 1641 กัปตันเฮนดริก แวน เดอ เด็คเคน (Hendrick Van der Decken) กัปตัน ตันเรือสินค้าลำหนึ่งของฮอลันดา คิดจะนำเรือเดินทางอ้อมแหลมกูดโฮป ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา ขณะใกล้ถึงจุดหมาย บังเอิญมีลมพายุที่รุนแรงขวางเส้นทางเดินเรือของเขาไว้ แทนที่เขาจะเลิกล้มความตั้งใจ หรือ หันเหเรือไปยังเส้นทางอื่น กัปตันเรือผู้ดื้อรั้นกลับนำเรือของเขาแล่นฝ่าพายุต่อไป ทำให้ลูกเรือซึ่งตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่วมมือกันเข้ายึดอำนาจการควบคุมเรือจากกัปตัน ด้วยความโมโหผสมกับความมึนเมาจากฤทธิ์ของสุรา ทำให้กัปตันเรือคลุ้มคลั่ง จนใช้ปืนยิงหัวหน้ากลุ่มขบถ แล้วโยนร่างของเขาทิ้งลงทะเลไป ทันใดนั้นเอง มีเมฆลึกลับสีดำปรากฏขึ้น พร้อมกับมีเสียงตำหนิกัปตันเรือ ในความดื้อรั้นของเขา กัปตันเรือจึงโต้เถียงออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แล้วยกปืนขึ้นเล็งไปยังเมฆประหลาดนั้น แต่เมื่อเขาลั่นกระสุนออกไปลูกปืนกลับระเบิดใส่มือของเขาเอง จากนั้น เสียงลึกลับจากเมฆสีดำก็สาปให้เขา “ ต้องแล่นอยู่ในท้องทะเลไปชั่วกัลปาวสาน โดยต้องดื่มน้ำดีรสขมแทนน้ำ และกินเหล็กที่ร้อนแดงเป็นอาหาร แล้วยังสาปให้เรือปีศาจลำนี้นำความตายมาสู่ใครก็ตามที่พบเห็นมัน!”
หลัง จากนั้น กัปตันและเรือปีศาจของเขา ก็มักออกมาหลอกหลอนนักเดินเรืออยู่เสมอตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในรายที่โชคดีหน่อยก็อาจจะเพียงแค่ถูกหลอกให้กลัวเท่านั้น เช่น เห็นเรือปีศาจที่น่ากลัวปรากฏขึ้น แล้วหายวับไป แต่ในรายที่โชคร้ายก็อาจถูกเรือปีศาจล่อหลอกให้แล่นเรือหลงทางไปชนกับหิน โสโครกใต้น้ำ จนต้องอัปปางลง
ใน ปีค.ศ. 1835 ลูกเรือของอังกฤษลำหนึ่ง มีโอกาสเผชิญหน้ากับเรือปีศาจ พวกเขาบันทึกไว้ว่า เรือปีศาจปรากฏขึ้นท่ามกลางลมพายุอันน่ากลัว แล้วแล่นตรงเข้ามาหาเรือของพวกเขา จนน่ากลัวว่าเรือทั้งสองลำจะพุ่งเข้าชนกัน แต่ในวินาทีนั้นเอง มันก็หายวับไป
การ เผชิญหน้ากับเรือปีศาจครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง ถูกบันทึกไว้โดยมกุฎราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ายอร์ชที่ 5 พระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า เมื่อในวันที่ 11กรกฎาคม ค.ศ. 1881 ขณะที่เรือซึ่งพระองค์ทรงประจำการอยู่แล่นผ่านแหลมกูดโฮป ลูกเรือคนหนึ่งมองเห็นเรือปีศาจปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกโดยมีแสงสีแดงประหลาด สว่างเรืองออกมาจากทั่วลำเรือและอยู่ห่างไปในระยะ 200 หลา ต่อมาไม่นาน ลูกเรือคนนั้นก็ต้องคำสาปของเรือปีศาจ
ประสบอุบัติเหตุจากเสากระโดงเรือจนเสียชีวิต
ใน เดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1939 มีผู้คนนับสิบที่ชายฝั่งแอฟริกาใต้มองเห็นเรือปีศาจลำนี้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่พวกเขาต่างอธิบายรายละเอียดของเรือได้ถูกต้องตรงกัน ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นเรือสินค้าในสมัยศตวรรษที่ 17 มาก่อน
สำหรับ การปรากฏขึ้นครั้งล่าสุด มีการบันทึกไว้ในปีค.ศ. 1942 โดยมีผู้อ้างว่าเห็นเรือปีศาจลำนี้หายไปต่อหน้าต่อตาคนถึง 4 คน แม้กระทั่งทุกวันนี้ เมื่อใดที่มีพายุก่อตัวขึ้นที่แหลมกูดโฮป ก็ยังมีผู้กล่าวว่า หากเพ่งมองเข้าไปที่ใจกลางพายุ ก็อาจจะเห็นเรือปีศาจลำนี้


ตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่วัดมันเนน หมู่บ้านคุริซาว่า อ.โงจิ ฮอคไกโด
เด็กหญิงเจ้าของตุ๊กตาชื่อว่า "คิคุโกะ"
คิคุโกะรักตุ๊กตาตัวนี้มาก ป้อนข้าวป้อนน้ำนอนด้วยกัน
หลังจากนั้นคิคุโกะก็ได้ป่วยและเสียชีวิตลง
พ่อและแม่ของเธอจึงนำตุ๊กตานี้ไปไว้กับป้ายวิญญาณของเธอเพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนเล่
ตุ๊กตาที่แต่เดิมผมสั้นกลับมีผมยาวลงมาจนเลยไหล่
คิคุโกะจังตายมานานกว่า 60 ปีแล้ว นอกจากผมที่ยาวได้แล้ว
ปากของตุ๊กตาที่เคยหุบสนิท กลับเปลี่ยนเป็นเผยอยิ้มขึ้นมาด้วย
ปัจจุบันที่วัดมันเนนในวันที่พระอาทิตย์ข้ามเส้นศูนย์สูตร
ทำให้กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ได้ถูกกำหนดให้เป็นวัน "ตุ๊กตาคิคุ"
ซึ่งจะมีพิธีการตัดผมที่ปรกหน้าตุ๊กตาออก และเปลี่ยนกิโมโนให้ใหม่
หลังจากนั้น ผมที่ตัดแล้วก็ยังคงยาวใหม่อยู่เสมอ
วันที่ 21 มีนาคมของทุกปี จะมี "พิธีตัดผม" ของตุ๊กตา 



เรื่องเล่าของแม่นาคพระโขนง (เรียบเรียงจากวิกิพีเดีย)

นายมากและนางนาก คู่สามีภรรยาหนุ่มสาว อาศัยอยู่ด้วยกันที่ย่านพระโขนง ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนนางนากตั้งครรภ์อ่อน ๆ พอดีกับที่นายมากมีหมายเรียกให้ไปเป็นทหารประจำการที่บางกอก นางนากจึงต้องอยู่ตามลำพัง เมื่อครบกำหนดคลอดหมอตำแยก็มาทำคลอดให้ แต่ลูกของนางนากไม่ยอมกลับหัว จึงไม่สามารถคลอดออกมาตามธรรมชาติ ส่งผลให้นางนากเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และ สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง กลายเป็นผีตายทั้งกลม หลังจากนั้น ศพของนางนากได้ถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการก็กลับจากบางกอกมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่รู้ว่าเมียของตัวได้เสียชีวิตไปแล้ว นายมากกลับมาถึงบ้านในตอนหัวค่ำ จึงไม่ได้พบชาวบ้านเลย เนื่องจากบริเวณบ้านของนางนาก หลังจากที่นางนากตายไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวผีนางนาก เพราะเชื่อกันว่าวิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยน และมีความดุร้ายเป็นยิ่งนัก

เมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้าน ผีนางนากก็คอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบปะกับใคร เพราะเกรงว่านายมากจะรู้ความจริงจากชาวบ้าน นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว จนวันหนึ่งขณะที่นางนากตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนากทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน

นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาก โดยการแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่วแล้วเอาดินอุดไว้ พอตกกลางคืนหลอกนางนากว่าจะปลดทุกข์เบา แล้วแกะดินที่อุดตุ่มไว้ให้น้ำไหลออกเหมือนคนปลดทุกข์เบา จากนั้นจึงแอบหนีไป นางนากเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอก จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนากตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนากไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผีกลัวใบหนาด นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนากไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง ทำให้นางนากออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง ในที่สุด นางนากก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับใส่หม้อถ่วงน้ำ จึงสงบไปได้พักใหญ่

จนกระทั่งตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ เก็บหม้อที่ถ่วงนางนากได้ขณะทอดแหจับปลา นางนากจึงถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ กะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนากถูกเคาะออกมาทำหัวปั้นเหน่ง เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนากสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่น ๆ อีกหลายมือ ตำนานรักของนางนาก นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างไม่รู้จบ กับความรักที่มั่นคงของนางนากที่มีต่อสามี ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้

ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ (วิกิพีเดีย)

เอนก นาวิกมูล ผู้ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ไทยได้ค้นคว้าเอกสารร่วมสมัยเกี่ยวกับเรื่องแม่นากพระโขนงนี้ พบว่า จากหนังสือพิมพ์สยามประเภทฉบับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2442 ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ น่าจะมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ของ อำแดงนาก ลูกสาวกำนันตำบลพระโขนงชื่อ ขุนศรี ที่ตายลงขณะยังตั้งท้อง และทางฝ่ายลูก ๆ ของอำแดงนากก็เกรงว่าบิดาของตน (สามีแม่นาก) จะไปแต่งงานมีภรรยาใหม่ และต้องถูกแบ่งทรัพย์สิน จึงรวมตัวกันแสร้งทำเป็นผีหลอกผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยการขว้างหินใส่เรือผู้ที่สัญจรไปมาในเวลากลางคืนบ้าง หรือทำวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อให้คนเชื่อว่าผีของมารดาตนเองเฮี้ยน และพบว่าสามีของอำแดงนาก ไม่ใช่ชื่อ มาก แต่มีชื่อว่า นายชุ่ม ทศกัณฑ์ (เพราะเป็นนักแสดงในบท ทศกัณฑ์) และพบว่า คำว่า แม่นาก เขียนด้วยตัวสะกด ก ไก่ (ไม่ใช่ ค ควาย) แต่การที่สามีแม่นากได้ชื่อเป็น มาก เกิดขึ้นครั้งแรกจากบทประพันธ์เรื่อง "อีนากพระโขนง" ซึ่งเป็นบทละครร้อง ในปี พ.ศ. 2454 โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เคยทรงครอบครองกระดูกหน้าผากของแม่นากนี้ด้วยเช่นกัน โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำมาถวาย

ความเชื่อของคนไทยเรื่องแม่นาค

1.เชื่อว่าชื่อ สี่แยกมหานาค ที่เขตดุสิตในปัจจุบัน มาจากการที่แม่นากอาละวาดขยายตัวให้ใหญ่ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ก็ยังเคยเสด็จทอดพระเนตรด้วย หรือ เชื่อว่าพระรูปที่มาปราบแม่นากได้นั้นคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อว่า ท่านเป็นคนเจาะกะโหลกที่หน้าผากของแม่นากทำเป็นปั้นเหน่ง เพื่อสะกดวิญญาณแม่นาก และได้สร้างห้องเพื่อเก็บปั้นเหน่งชิ้นนี้ไว้ต่างหาก หรือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยังได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2468 ซึ่งเป็นสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านเคยเห็นเรือนของแม่นากด้วย เป็นเรือนลักษณะเหมือนเรือนไทยภาคกลางทั่วไปอยู่ติดริมคลองพระโขนง มีเสาเรือนสูง มีห้องครัวอยู่ด้านหลัง ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว

2.เชื่อว่ายังมีผู้สืบเชื้อสายจากแม่นากมาจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้น คือ พีท ทองเจือ ดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งครั้งหนึ่ง พีท ทองเจือ ก็เคยได้รับแสดงบทพ่อมาก ในละครเรื่องแม่นาค ของทางช่อง 7 อีกด้วย

3.เชื่อว่าเป็นปั้นเหน่งที่ทำจากหน้าผากกะโหลกแม่นาก ปัจจุบันถูกครอบครองโดยนักสะสมพระเครื่องผู้หนึ่ง









ลา เลลโรน่า...

เรื่องของลา เลลโรนา(La Llorona) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าโครงมาจากความเป็นจริงบางส่วนของเม็กซิโกนั้น เป็นเรื่องที่สร้างความสยองใจให้แก่ผู้คนในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก


ความสยองนั้นมาจากการที่ใครบางคนได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาในช่วงกลางดึก โดยที่เสียงนั้นเป็นเสียงที่ลอยลมมากระทบกับโสตประสาทของคนที่นอนไม่หลับหรือกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ และเสียงที่ว่านั้นก็กรีดลึกบาดใจของผู้ฟังจนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เสม



คำว่า ลา เลลโรลนา เป็นคำที่ถ่ายทอดมาจากภาษาสเปนซึ่งมีความหมายว่าผู้หญิงผู้หญิงซึ่งกำลังร่ำไห้คร่ำครวญโดยมีที่มาที่ไปจากดินแดนเม็กซิโกเป็นหลักทั้งนั้น เมื่อมีคนเม็กซิกันอพยพมาตั้งหลักแหล่งในอเมริกา จึงนำเอาความเชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับผีผู้หญิงตนนี้ติดตามมาด้วย

เรื่องนี้มีที่มาจากเรื่องของสตรีคนหนึ่งซึ่งมีลูกน้อยอยู่ด้วย ต่อมาเธอต้องการจะแต่งงานอยู่กินกับชายคนหนึ่งซึ่งเธอคิดว่ามันเป็นความรักครั้งใหม่ ชายคนนั้นบอกว่าเขาเองก็รักเธอมากแต่เขาไม่ชอบเด็กๆ และนั่นก็มากพอที่จะทำให้เธอหาทางกำจัดลูกๆของเธอออกไปเพื่อที่จะแต่งงานอยู่กินกับเขา

ท้ายที่สุด เธอตัดสินใจสังหารลูกๆของเธอ แต่ก็ยังรู้สึกผิดที่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น ต่อมาเธอเฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องนี้จนทำให้เกิดความกดดันอย่างหนัก จนท้ายที่สุดจึงได้ฆ่าตัวตายไปเพื่อหนีปัญหา

กระนั้นก็ตาม การฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ทำให้เธอพ้นเวรพ้นกรรม เพราะปรากฏวิญญาณของเธอยังไม่พบความสงบเสียที หากแต่ต้องออกมาเดินไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาไปตามพื้นที่เหล่านั้น

บางทีก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังมองหาลูกของเธอที่ตายจากไปและบางตำนานหรือเรื่องเล่าก็บอกว่าเธอจะมาปรากฏร่างให้เห็นเพื่อเตือนใจใครๆว่าเมื่อเห็นเธอแล้วจะได้ไม่หลงทำตัวผิดพลาดแบบเธออีก กลับได้ก็กลับใจเสียอะไรทำนองนั้น

บางตำนานก็กล่าวว่าเธอลงมือสังหารลูกๆที่แสนน่ารักและไม่รู้เดียงสาของเธอด้วยการกดหัวพวกเขาในลำน้ำชลประทานของย่านตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา แล้วปล่อยให้ร่างของลูกๆที่ปราศจากลมหายใจของเธอดำดิ่งลงไปในสายน้ำนั้น

ต่อมาเมื่อได้คิด เธอก็ออกเดินทางไปตามแหล่งน้ำนั้นเพื่อที่จะมองหาศพลูกๆของเธอ หรือบางทีก็อาจจะเป็นเด็กๆคนอื่นก็ได้ทั้งสิ้น หรือบางทีเรื่องเล่านี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคำเตือนให้ผู้ปกครองคอยดูแลลูกหลานไม่ให้ไปเล่นน้ำในลำธารต่างๆเพราะอาจจะจมน้ำตายก็ได้

เมื่อมองกลับไปยังประเทศเม็กซิโก เรื่องนี้จะสอดคล้องกับตำนานซึ่งเล่ากันว่าเกิดขึ้นในปีค.ศ.1550 คราวนั้นมีเจ้าหญิงพื้นเมืององค์หนึ่งตกหลุมรักอย่างแน่นแฟ้นกับหนุ่มผู้สูงศักดิ์จนยากจะถ่ายถอนได้

หนุ่มรายนั้นให้สัญญาว่าจะแต่งงานอยู่กินกับเธอ แต่แล้วเขาก็ทรยศกบฏรักต่อเธอโดยหันไปแต่งงานกับสาวคนอื่น เรื่องนี้ทำให้เจ้าหญิงช้ำใจเป็นอย่างมากจนถึงกับต้องหาทางระบายความแค้นของเธอ และท้ายที่สุดเมื่อถูกท้าทายจากเจ้าชายผู้ทรยศรัก เธอก็ระบายความแค้นด้วยการสังหารลูกของเธอโดยใช้มีดของชายหนุ่มผู้นั้น


ต่อมา...เมื่อได้สติแล้ว เธอก็เสียอกเสียใจเป็นอันมาก และเรื่องนี้ทำให้เธอออกเดินไปตามถนนหนทางต่างๆพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจที่ได้ทำอะไรผิดพลาดอย่างรุนแรงจนถึงขั้นสังหารลูกๆของเธอเอง

ต่อมาเธอจึงฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอตัวเองเพื่อเป็นการชดใช้บาปกรรมที่เธอก่อไว้กับลูกๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดจบของเรื่องเพราะเธอยังคงกลายสภาพไปเป็นวิญญาณที่คอยตระเวนไปตามที่ต่างๆเพื่อเสาะหาลูกๆของตนเองอย่างไม่มีวันจบสิ้น

เรื่องน่าเศร้าทำนองนี้ก่อให้เกิดทั้งความสลดหดหู่ใจและความหวาดผวาพร้อมๆกัน เมื่อบังเอิญได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงตอนดึกๆ บางทีเสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงของลา เลลโรนาก็ได้










ผีนับจาน(Sarayashiki)หรือโอคิคุ มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนกลางดึก ณ บ่อน้ำในปราสาท
ฮิเมจิจะมีร่างร่างหนึ่งลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำ เมื่อถึงปากบ่อร่างนั้นก็เริ่มนำจานขึ้นมานับ ทีละ
ใบหนึ่ง.... สอง.... สาม.... ไปจนถึงเก้า พอนับถึงเก้าแล้วร่างนั้นก็จะก้มหน้าร้องไห้แล้ว
พึมพำว่า "ทำไมแค่เก้า.... ทำไมแค่เก้า..." แล้วร่างนั้นก็จะค่อยๆหายไป ทิ้งไว้แต่ความ
เงียบก่อนที่โอคิคุจะกลายเป็นผีนั้นมีหลายเรื่องเล่า บางเรื่องกล่าวว่าโอคิคุทำจานของเจ้
นายแตก เจ้านายโมโหมากจึงฆ่าโอคิคุทิ้งแล้วเอาศพทิ้งลงบ่อน้ำ

เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของโอคิคุมีที่มาจาก เธอเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า ผู้ที่หวังจะโค่นล้ม
อำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง
ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวใน
ที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้ม
เหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมย
จานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูก
ทิ้งศพลงบ่อน้ำ










Bloody Mary นับเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญที่มีมาแต่โบราณในทวีปยุโรป แต่ในหมู่เด็กๆ จะรู้จักชื่อของเธอในรูปแบบของเกมวัดใจที่จะเล่นได้เฉพาะที่หน้ากระจก โดยกฎหลักๆ ของวิธีการเล่นก็คือจะต้องเล่นหน้ากระจกในห้องที่มืดๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นห้องน้ำ) และเรียกชื่อของเธอซ้ำๆ ว่า "Bloody Mary, Bloody Mary, ...." ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป เช่นจำนวนรอบในการเรียกชื่อของเธอซึ่งมีตั้งแต่ 3 ครั้ง ,13 ครั้ง ไปจนถึง 100 ครั้ง นอกจากนี้ในบางท้องที่ก็จะมีกรรมวิธีอื่นๆ เสริมเข้ามาเช่น พิธีนี้จะทำได้เฉพาะเวลาเที่ยงคืน, ให้หมุนตัวไปรอบๆ ขณะเรียกชื่อ, ให้ขยี้ตาข้างหนึ่งขณะที่เรียกชื่อ, ให้เท้าสัมผัสกับน้ำขณะเรียกชื่อ ,จุดเทียนที่หน้ากระจกด้วยขณะเรียกชื่อ และบางความเชื่อให้พูดว่า "Bloody mary, I killed your baby." แทนการเรียกชื่อ เพราะเชื่อว่า Bloody Mary เป็นผีของผู้เป็นแม่ ที่ลูกถูกฆ่าตาย หรือถูกลักพาตัวไป (ว่ากันว่าเป็นหญิงม่าย) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอเสียสติและซึมเศร้าจนตัดสินใจจบชีวิตตัวเองที่หน้ากระจก
บลัดดี้แมรี่ยังมีชื่ออื่นๆอีกคือ Bloody Bones,Hell Mary,Mary Worth,Mary Worthington,Mary Whales,Mary Johnson,Mary Lou,Mary Jane,Sally,Kathy,Agnes,Black Agnes,Aggie,Svarte Madame,Bloody mirror

แม้วิธีการทำพิธีเพื่ออัญเชิญหรือท้าทายผี Bloody Mary จะมีรายละเอียดที่ต่างกันไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่่งที่ค่อนข้างจะเหมือนกันคือเมื่อ Bloody Mary โผล่ขึ้นมาในกระจกแทนเงาของผู้ที่เรียกเธอมาแล้ว เธอจะพยายามฆ่าคนที่เรียกเธอด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระชากหนังหน้าจนขาดด้วยเล็บที่แหลมคม ควักลูกตา ตัดคอ หรือลากเอาคนทำพิธีเข้าไปกระจกพร้อมๆ กับเธอ แต่หากใครที่เห็นเธอปรากฎขึ้นมาในกระจกแต่ไม่ถูกทำร้ายในตอนนั้น แล้วคิดว่าตนเองโชคดีก็ขอให้เข้าใจกำลังเป็นผู้โชคร้ายอย่างสุดๆ แล้ว เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเธอจะตามหลอกหลอนผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นทุกครั้งที่ส่องกระจกไปจนกว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะตาย

แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เชื่อกันว่าหากเรียกชื่อของเธอ 13 ครั้งที่หน้ากระจกแล้ว Bloody Mary ปรากฎตัว เราจะสามารถขอเธอคุยกับผู้เสียชีวิตไปแล้วได้ จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน 1 นาที เธอและผู้เสียชีวิตที่ถูกเรียกมาจะหายไปจากกระจก และในอีกบางความเชื่อก็บอกว่าเมื่อเธอปรากฎตัวอย่าตกใจ แต่ขึ้นให้เพ่งมองไปที่ตัวเธอแล้วจะได้เห็นภาพของชีวิตในอนาคต หน้าตาคู่ครองรวมถึงหน้าตาของลูกหลานแทน แต่หากภาพที่เห็นเป็นภาพของซากศพ ก็ให้เข้าใจได้เลยว่า "ตายก่อนได้แต่งหรืออาจจะไม่ได้แต่งเลยชาตินี้...confirm"

นอกจากนี้ยังมีคนเฒ่าคนแก่บางคนเชื่อว่าผี Bloody Mary นี้คือ Queen Mary I (ควีนแมรี่ที่ 1) ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และต้องการกำจัดพวกโปรแตสแตนท์ในประเทศอังกฤษให้หมดสิ้นในทุกวิถีทาง ด้วยเหตุนี้ผู้นำนิกายโปรเตสแตนท์ รวมทั้งผู้ชาย เด็ก และสตรีมีครรภ์ถูกประหารไปมากมาย ต่อมาการพยายามมีทายาทของพระนาง ทั้งที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่พระนางคิดว่าตัวพระนางเองมีบุตรจึงเกิดภาวะครรภ์เทียมจึงทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆจนสวรรคตแต่การสวรรคตของพระองค์ เรียกได้ว่ากรรมตามสนองที่เคยทำไว้กับเหล่าสตรีมีครรภ์และเด็กโดยแท้ ซึ่งมหกรรมการสังหารหมู่ของ Queen Mary I ก็ได้ส่งให้เธอมีชื่ออยู่ใน 10 อันดับ ฆาตกรหญิงที่โหดที่สุดด้วยนะคะ

แต่ทั้งนี้ความเชื่อเกี่ยวกับประวัติของแมรี่ก็ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือยิ่งนัก เพราะบางคนก็บอกว่าแมรี่เป็นแม่มดที่ถูกเนรเทศเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในข้อหาใช้มนตร์ดำ แต่บางคนก็บอกว่าเป็นผู้หญิงในยุคเราๆนี่แหละ ที่ตายในอุบัติเหตุรถชนแล้วหน้าถูกรถอัดเละ แต่ก็มีคนแย้งว่าเป็นผีของผู้หญิงที่ฆ่าลูกของตัวเองหลังจากแต่งงานแล้วกินเด็ก ว่าไปถึงเป็นที่แบบเป็นผีแท้ๆ ที่ไม่เคยเป็นคนมาก่อนเลยก็มี





กองกอย เป็นผีป่าชนิดหนึ่ง (ผีไพร) ลักษณะรูปร่างจะเป็นผีที่มีขาข้างเดียว มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาไปไหนมาไหนจะกระโดดไปด้วยขาข้างเดียว และส่งเสียงร้องว่า " กองกอย ๆ " อันเป็นที่มาของชื่อ เชื่อว่ามีหน้าตาคล้ายลิงหรือค่าง บ้างเรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโบ่งขาม สันนิษฐานว่า ความเชื่อเรื่องผีโป่ง ก็คือ ค่างแก่ที่หน้าตาน่าเกลียดไม่สามารถขึ้นต้นไม้ได้ มีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า ถ้าได้ดื่มเลือดค่างจะทำให้ร่างกายคงกระพันเป็นอมตะ เจ้าย่องตอดในวรรณคดีพระอภัยมณีเชื่อว่า ก็คือ ผีกองกอย นั่นเอง

เชื่อว่า ผีกองกอย จะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนค้างแรมในป่า วิธีการป้องกันคือ ให้นอนไขว้ขาหรือชิดเท้ากันทั้งสองข้าง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ผีลักษณะแบบเดียวกับผีกองกอย มีความเชื่อกระจายทั่วไป ไม่เฉพาะในไทย ในมาเลเซียเชื่อว่า มีคนป่าเผ่าหนึ่งมีขาข้างเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า ที่จีนก็มีความเชื่อว่า มีปีศาจชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ตามภูเขา มีขาเดียว ตัวเล็ก แต่ผมยาว ตาโต หูแหลม มักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง เมื่อถึงวันตรุษก็มักเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน เชื่อว่านำมาซึ่งความอัปมงคล และใครจับต้องตัวมันจะเผชิญกับโชคร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ แม้แต่ผีขาเดียว ที่ไปไหนมาไหนด้วยวิธีการกระโดด ของยุโรปก็มี

ภาคเหนือมีผีชนิดหนึ่ง เรียกว่า ผีโป๊กกะโหล้ง สันนิษฐานว่า เป็นผีโป่งชนิดหนึ่ง เพราะมีลักษณะคล้ายกันคือ มีขาเดียว วิ่งไวเหมือนลมพัด แต่ผีชนิดนี้มีความแปลกอยู่บ้างตรงที่ไม่เคยดูดเลือดคนที่เดินป่า แต่ชอบบังตาคนเล่น ผีชนิดนี้มีเสียงร้องประจำตัวคือ โป๊กๆๆ กะโหล้ง โป๊กๆๆๆ กะโหล้ง เป็นลักษณะประจำตัว นิสัยประจำตัวอีกอย่างของผีชนิดนี้คือ หากมีคนตะโกนเรียกกันในป่า มันจะเลียนเสียง ทำให้คนที่ตะโกนรับหลงทางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ดังนั้นคนเฒ่าคนแก่ถึงได้ห้ามตะโกนในป่า เพราะผีโป๊กกะโหล้งจะเลียนเสียงทำให้หลงป่าได้.

ในยุโรป คนที่เล่นเกมวัดใจกับผีเกมนี้ส่วนมากจะเป็นเด็กอายุประมาณ 9-12 ปีค่ะ ซึ่งเป็นวัยที่นักจิตวิทยาเรียกว่า The Robinson Ages คือเป็นช่วงที่เด็กจะพอใจกับความตื่นเต้นที่ได้เล่นในเรื่องลึกลับน่ากลัว

















ประวัติความเป็นมาของผีดิบ ซอมบี้ 

- เรื่องราวของผีดิบเดินได้ที่เรียกว่า ซอมบี้นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนแถบริมฝั่งทะเลคาริบเบียน ต่อมาได้เผยแพร่ขยายไปในส่วนต่างๆของยุโรป ผู้ที่ทำพิธีกรรมทางไศยศาสตร์ ปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมาคือบรรดาพ่อมดหมอผีผู้รอบรู้เกี่ยวกับวิชามนต์ดำในลัทธิวูดู อันเป็นลัทธิ หนึ่งซึ่งมีวิธีปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์ โดยการท่องมนต์ ลึกลับอ้อนวอนต่อ “เวสตู” เทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้าย นอกจากนั้นลัทธิวูดู ยังมีมีพิธีการเกี่ยวกับการสาปแช่ง และสังหารศัตรู ด้วยวิธีการของมนต์ดำ



ซอมบี้ที่ตายไปแล้วเป็นซอมบี้ที่เกิดจากเวทมนตร์ดำ มักจะไม่ทำร้ายผู้คน เว้นแต่ จะเป็นซอมบี้ที่ถูกปลุกจาก พวกหมอผีหรื่อพวกลัทธินอกรีต มักจะมีนิสัยดุร้าย ชอบกินพวกซากคนตายตามสุสาน ซากสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่คนเป็นก็ย่อมได้ ซอบี้พวกนี้ มีลักษณะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่ บางพวก เช่น ซอมบี้ที่มีชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher)จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว



ซอมบี้ที่ถูกดัดแปลงเป็นซอมบี้ที่เกิดจาก พวก นักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับชีวเคมี ส่วนใหญ่คือ พวกแฟรงเก้นสไตน์ นั่นเอง แต่ที่ปรากฏในเกม หรือ ภาพยนตร์ มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองไวรัสปรสิต มีการเคลื่อนไหว่ เชื้องช้า(เพราะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เลือดจะแข็งตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก)เมื่อใดที่ซอมบี้พวกนี้ กัด หรือ ข่วน มนุษย์ ในไม่ช้า คนๆนั้นก้จะกลายเป็น ซอมบี้เช่นเดียวกัน ซอมบี้พวกนี้ลักษณะเป็นคนหน้าซีด ตาขาว มีฟันที่ไม่ตรงกัน และมีฟันที่เหลือง มีเลือดชุ่มตัว น่าสยดสยอง มีจุดอ่อนที่หัว เพราะซอมบี้พวกนี้ มักถูกไวรัสควบคุมที่สมอง ถ้าใช้อาวุธคม๐ พวกขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้า จะหยุดการทำงานของซอมบี้ ส่วนภาพยนตร์ที่โด่งดังที่ทุกคนรู้จักซอมบี้ในทุก ๆ แห่ง คงหนีไม่พ้น หนังเรื่อง Resident Evil (ผีชีวะ) ทั้ง 3 ภาค ซึ่งดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil มาทำเป็นภาพยนตร์ นั่นเอง



วิธีการปลุกผีดิบซอมบี้

สภาพศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีได้

- ศพที่จะใช้ในพิธีปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของผีดิบซอมบี้นั้น จะต้องใช้ศพของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ คือควรอยู่ในสภาพดีไม่เน่าเปื่อยหรือถึงกับยุ่ยจนเหลือแต่โครงกระดูก



วิธีการที่จะได้ศพมาทำพิธี

สำหรับวิธีการที่จะได้ศพมาเพื่อใช้ในการทำพิธีนั้น ก็สุดแล้วแต่ความสามารถของบรรดาพ่อมดหมอผี ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลัทธิ วูดูจะสามารถสรรหามาได้เช่น



1. ขโมยขุดศพมาจากสุสาน

- วิธีนี้บรรดาพ่อมดหมอผีจะสั่งให้สมุนผู้ช่วยไปขุดเอามาจากหลุมศพตาม สุสานหรือป่าช้าที่มีการนำศพคนตายไปฝัง ในยุคที่มีการ ขโมยขุดศพไปทำผีดิบซอมบี้กันอย่างแพร่หลาย หลังจากทำพิธีการศพเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน พวกญาติๆต้องคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเฝ้าศพ ไม่ก็จ้างผู้เฝ้าศพให้จนกว่าศพจะเน่าพอที่จะไม่สามารถนำไปทำซอมบี้ได้เลยก็มี



2. ขโมยศพจากโรงพยาบาล

- วิธีนี้ค่อนข้างจะบ้าเลือดไปนิด แต่มีการได้รับการยืนยันจากผู้มีประสบการณ์ในประเทศเฮติ ชายคนนี้มีนามว่า คลาอุส นารุคิส เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต เมื่อเขารู้ตัวอีกทีเขารู้สึกว่าถูกนำตัวไปอยู่กระท่อมกลางนา ซึ่งเขาเห็นน้องชายตัวแสบของเขาเป็นผู้ร่วมมือกับหมอผีนำร่างของเขามานั่นเอง ขณะที่อยู่กับซอมบี้ตัวอื่นๆ ความจำของเขาค่อยๆกลับมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เมื่อน้องชายของเขาและหมอผีเสียชีวิต เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ เล่าเรื่องในวัยเด็กของเขา ได้อย่างถูกต้อง



ลักษณะและความสามารถของซอมบี้

ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกปลุกขึ้นมาก็จะทำตามคำสั่งทุกประการ สามารถใช้งานให้ทำอะไรก็ได้ สภาพของซอมบี้จะแข็งทื่อ ไร้สติปัญญา ไรจิตใจ แถมมีความทรหดอดทน แข็งแรงแบบที่ว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกหมอผีจึงปลุกขึ้นมาให้ทำงานอย่างไม่มีเวลาพัก ดีกว่าจ้างคนเสียอีก



อิทฤทธิ์และวิธีการป้องกัน จัดการกับซอมบี้

ผีดิบซอมบี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น มันมีความแข็งแรงสูง แถมไม่กลัวแสงแดดเสียอีก เวลาโดนอะไรก็จะไม่รู้สึกนอกเสียจากว่า ทำลายมันให้เละ จึงเป็นตัวที่ปราบปรามยากอยู่สักหน่อย วิธีการหยุดมันควรจะใช้ของแรงๆเช่น ปืนไฟ จรวด ก็คงพอจะเอาอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอาแต่ไล่ล่าหาเหยื่อ ถ้าเจอเข้า โกยแน่บ เป็นดีที่สุด







ผีสาวปากฉีก 


คุชิซาเกะอนนะ หรือสาวปากฉีกเป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก

สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญาณพยาบาท

มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้

พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย?

ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ?

เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น

สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดนจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ

เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง(เอ่อ...ไม่ใช่หมานะ) จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้

และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี

สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ


เกมส์เกี่ยวกับผี





Link
v
v
v

               http://www.sinthaistudio.com/thehouse/



ภาพยนตร์สยองขวัญที่มีชื่อเสียง




 Evill Dead     
















one missed call 

























ผีอาฆาต

















ผีดุ



















ผีทวงบ้าน




























แฝด 









ตู้ซ่อนผี




























the others 




























 the eye 

























งานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ง32102 

ผู้จัดทำ

ภัคพัชญ์ ดิลกกวีรชต์ชัย เลขที่ 7
ณัฐณิชา จุลศักดิ์ เลขที่ 10
นันทกานต์ ประยูรพงศ์ เลขที่ 15
สุชานันท์ คารวานนท์ เลขที่ 32
อิงฟ้า เอกอุดมมงคล เลขที่ 37        ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 12



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น